เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นจะมีลักษณะแตกต่างไปจากเด็กบกพร่องประเภทอื่น ๆ เนื่องจากเด็กเหล่านี้ต้องการให้คนอื่นปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนคนปกติ แม้ว่าบางครั้งจะต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่งโดยสามัญสำนึกส่วนใหญ่แล้วต้องการช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด พัฒนาการทางภาษาของเด็กช้ากว่าเด็กปกติเล็กน้อย แต่ทักษะภาษาไม่แตกต่างกัน ความสามารถทางสติปัญญาเหมือนเด็กปกติ แต่การสร้างความคิดรวบยอดต่อสิ่งต่าง ๆ ช้ากว่า ทักษะการเคลื่อนไหวของเด็กจะเป็นไปด้วยความล่าช้า บางครั้งมีปัญหาจึงต้องฝึกให้รู้จักสิ่งแวดล้อมและการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง การปรับตัวของเด็กมีบ้างในกรณีที่สังคมมีเจตคติที่ไม่ถูกต้อง แต่โดยสภาพรวมเด็กสามารถอยู่ในสังคมเพื่อน ๆ เด็กปกติได้ดี ดังนั้นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นจึงควรจัดดังนี้
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นจะมีลักษณะแตกต่างไปจากเด็กบกพร่องประเภทอื่น ๆ เนื่องจากเด็กเหล่านี้ต้องการให้คนอื่นปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนคนปกติ แม้ว่าบางครั้งจะต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่งโดยสามัญสำนึกส่วนใหญ่แล้วต้องการช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด พัฒนาการทางภาษาของเด็กช้ากว่าเด็กปกติเล็กน้อย แต่ทักษะภาษาไม่แตกต่างกัน ความสามารถทางสติปัญญาเหมือนเด็กปกติ แต่การสร้างความคิดรวบยอดต่อสิ่งต่าง ๆ ช้ากว่า ทักษะการเคลื่อนไหวของเด็กจะเป็นไปด้วยความล่าช้า บางครั้งมีปัญหาจึงต้องฝึกให้รู้จักสิ่งแวดล้อมและการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง การปรับตัวของเด็กมีบ้างในกรณีที่สังคมมีเจตคติที่ไม่ถูกต้อง แต่โดยสภาพรวมเด็กสามารถอยู่ในสังคมเพื่อน ๆ เด็กปกติได้ดี ดังนั้นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นจึงควรจัดดังนี้
1. หลักสูตรเนื่องจากเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นมีข้อจำกัดทางสายตา จนไม่สามารถใช้สายตาที่เหลือยู่ให้เกิดประโยชน์ในการเรียนรู้ได้ ดังนั้นหลักสูตรสำหรับเด็กเหล่านี้จึงต้องปรับให้เหมาะสมกับเด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กตาบอด อย่างไรก็ตามโดยสภาพรวมแล้วหลักสูตรควรใช้เหมือนกับเด็กปกติให้มากที่สุด
2. สิ่งที่จำเป็นการเรียนการสอนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นมีอยู่ 4 ประการ
2.1 อักษรเบรลล์ (Braille) การสอนอักษรเบรลล์กับเด็กที่บกพร่องทางการเห็นนี้ใช้กับเด็กที่ตาบอดสนิท หรือมีการเห็นหลงเหลืออยู่น้อยมากจนไม่สามารถใช้สายตาเรียนรู้ได้
2.2 การใช้การเห็นทีเหลืออยู่ ด้วยปัญหาจากการอ่านอักษรเบรลล์และด้วยความจริงที่ว่าผู้บกพร่องทางการเห็นส่วนมาก ยังมีการเห็นที่เหลืออยู่บ้างที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้ ผู้บกพร่องทางการเห็นในปัจจุบันจึงได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้อ่านด้วยสายตาให้มากที่สุด เนื่องจากปัจจุบันความก้าวหน้าทางการพิมพ์ สามารถปรับขยายให้ตัวอักษรมีขนาดเท่าใดก็ได้ที่เหมาะสมกับระดับการเห็นของเด็ก ประกอบกับสามารถใช้แว่นขยายหรือจอภาพโทรทัศน์ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ฉายขยายตัวอักษรให้ตัวโตได้หลายเท่าของตัวพิมพ์ปกติ
2.3 การฝึกทักษะการฟัง (Listening Skills) ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีสูง ทำให้ทักษะการฟังของคนบกพร่อง
ทางการเห็นมีมากขึ้นด้วย การใช้ทักษะการฟังมีความสะดวกและรวมเร็วกว่าการใช้อักษรเบรลล์เป้นอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันผู้บกพร่องทางการเห็นเป็นจำนวนมากจึงนิยมใช้การฟังมากขึ้น ฟังจากเทป หรือเครื่องที่บันทึกเสียงคอมพิวเตอร์ มากขึ้นเป็นลำดับ อย่างก็ตามการใช้การฟังมากเกินไปจะทำให้มีข้อเสียคือ เด็กที่พอมองเห็นเหลืออยู่บ้างไม่พยายามใช้สายตาที่เหลืออยู่ของตน ประการต่อมาการบันทึกเสียงไม่สามารถบันทึกสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมด
ทางการเห็นมีมากขึ้นด้วย การใช้ทักษะการฟังมีความสะดวกและรวมเร็วกว่าการใช้อักษรเบรลล์เป้นอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันผู้บกพร่องทางการเห็นเป็นจำนวนมากจึงนิยมใช้การฟังมากขึ้น ฟังจากเทป หรือเครื่องที่บันทึกเสียงคอมพิวเตอร์ มากขึ้นเป็นลำดับ อย่างก็ตามการใช้การฟังมากเกินไปจะทำให้มีข้อเสียคือ เด็กที่พอมองเห็นเหลืออยู่บ้างไม่พยายามใช้สายตาที่เหลืออยู่ของตน ประการต่อมาการบันทึกเสียงไม่สามารถบันทึกสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมด
2.4 การฝึกการเคลื่อนไหว (Mobility Traning) ถือเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อผู้บกพร่องทางการเห็นอย่างมาก เพราะจะต้องใช้ในการเดินทางและเคลื่อนไหวด้วยตนเองไปในที่ต่าง ๆ โดยอิสระการเคลื่อนไหวจำเป็นต้องฝึกคือ การทำความคุ้นเคยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการเคลื่อนไหว การทำความคุ้นเคยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม ว่ามีอะไร อยู่ที่ไหน จะใช้ประโยชน์อย่างไร หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือให้รู้ตัวเองว่ามีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมในลักษณะใดบ้าง ส่วนการเคลื่อนไหวเป็นการสอนให้เด็กสามารถเคลื่อนไหวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย การเคลื่อนไหวสามารถใช้คนนำทาง ใช้สุนัขนำทาง ใช้ไม้เท้า และใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิคส์
การช่วยเหลือเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นในชั้นเรียนปกติ
ปัจจุบันเด็กบกพร่องทางการเห็นส่วนใหญ่ จะได้รับบริการทางการศึกษาค่อนข้างกว้างขวาง และมีแนวโน้มขยายการให้บริการในรูปแบบของการจัดการศึกษา เพื่อให้เด็กบกพร่องทางการเห็นได้เข้าเรียนรวมในชั้นเรียนปกติมากขึ้น ดังนั้นการให้การช่วยเหลือแก่เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นในชั้นเรียนปกติจึงนับว่ามีความจำเป็น ซึ่งสามารถให้การช่วยเหลือได้ดังนี้
การช่วยเหลือเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นในชั้นเรียนปกติ
ปัจจุบันเด็กบกพร่องทางการเห็นส่วนใหญ่ จะได้รับบริการทางการศึกษาค่อนข้างกว้างขวาง และมีแนวโน้มขยายการให้บริการในรูปแบบของการจัดการศึกษา เพื่อให้เด็กบกพร่องทางการเห็นได้เข้าเรียนรวมในชั้นเรียนปกติมากขึ้น ดังนั้นการให้การช่วยเหลือแก่เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นในชั้นเรียนปกติจึงนับว่ามีความจำเป็น ซึ่งสามารถให้การช่วยเหลือได้ดังนี้
1. ปล่อยให้เด็กบกพร่องทางการเห็นได้รับผิดชอบต่อทรัพย์สิน สิ่งของต่าง ๆ เพื่อฝึกให้เขาสามารถพึ่งตนเองได้
2. ในบางครั้งควรให้เด็กปกติช่วยนำทางเด็กบกพร่องทางการเห็นบ้าง จนกว่าเด็กที่บกพร่อง ทางการเห็นคนนั้นจะแสดงทีท่าว่าสามารถช่วยเหลือตนเองได้
3. ปฏิบัติต่อเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นเหมือนเด็กทั่วไปทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบวินัย หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่สำคัญของชั้นเรียน
4. ส่งเสริมให้มีปฏิสัมพันธ์อันดีระหว่างเด็กทั่วไปกับเด็กบกพร่องทางการเห็น
5. สนับสนุนให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมของชั้นเรียน หากว่ามี่บางกิจกรรมที่เด็กไม่สามารถเข้าร่วมได้ ควรจัดเตรียมกิจกรรมอย่างอื่นทดแทน
6. มอบหมายงานพิเศษให้เหมือนกับคนอื่น ๆ ในชั้นเรียน เช่น เวรประจำวัน รดน้ำต้นไม้ ทำแปลงปลูกผัก ทำความสะอาด ดูแลเด็ก หรืออื่น ๆ
7. ควรฝึกและให้โอกาสเด็กบกพร่องทางการเห็นได้ช่วยเหลือเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนบ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น